วิวัฒนาการของปุ๋ยกระดูกป่น อินทรีย์วัตถุสูง
ทางเลือกที่คุ้มค่าสำหรับการใช้ "ปุ๋ยอินทรีย์เคมี"
จุดเริ่มต้นของการใช้กระดูกสัตว์มาทำเป็นปุ๋ยอย่างเป็นล่ำเป็นสัน และทางยุโรปถือว่าเป็นปุ๋ยคุณภาพดี
คือเมื่อราว ๆ เกือบ 300 ปีมาแล้ว ราว ๆ ปี 1769 นักแร่วิทยาและนักผลึกศาสตร์ชาวสวิตเซอร์แลนด์ (Johan Gottlieb Gahn)
ค้นพบกรดฟอสฟอริกในกระดูก หลังจากนั้น เพื่อนนักเคมีอีกคน (Carl Wilhelm Scheele)
ก็ค้นหาวิธีการสกัดฟอสฟอรัสออกจากกระดูกได้ จริงๆ ทั้ง Gahn และ Scheele
ถือเป็นนักบุกเบิกเรื่องเคมีธาตุอาหารพืชก็ว่าได้ เพราะก่อนหน้านี้ Gahn เองก็พบแมงกานีสคนแรกๆ
แต่พลาดการได้รับการยกย่องไป ส่วน Scheele นั้น เป็นผู้คนพบคลอไรด์
แต่ก่อนหน้าที่ Gahn จะค้นพบฟอสฟอรัสในกระดูก การใช้กระดูกสัตว์มาเป็นปุ๋ยก็มีมาแต่สมัยโบราณ
นานเกินกว่าจะมีการระบุเวลาและสถานที่ที่แน่นอน แต่มีหลักฐานคร่าวเป็นลายลักษณ์อักษร
โดยชาวอังกฤษในปี 1653 ว่าการใช้ปุ๋ยจากกระดูกสัตว์ใช้อย่างแพร่หลายทั่วไป เครื่องจักรในการบด
ป่นกระดูกเครื่องแรก พบในอังกฤษในปี 1778 แม้ว่าในสมัยนั้น การบด
ป่นจะไม่ได้ละเอียดและมีเทคโนโลยีสูงเหมือนปัจจุบัน แต่ความต้องการของตลาดก็สูงมาก ในปี 1815
กระดูกที่จะใช้ในการทำปุ๋ยไม่พอ อังกฤษต้องนำเข้ากระดูกป่นปีละ 300,000 ตัน

ในกระดูกมีธาตุที่เป็นส่วนประกอบทางเคมีอะไรบ้าง ?
ขึ้นกับอายุของสัตว์ สุขภาพของสัตว์ และอาหารที่สัตว์กิน โดยหลัก ๆ จะเป็นส่วนประกอบของ
ไตรแคลเซียมฟอตเฟต (Ca2(PO4)2 อย่างที่พวกเราเข้าใจกัน กระดูก มีแคลเซียม และ ฟอสฟอรัส สูงมาก
ในขณะเดียวกัน ก็จะพบ แมงกานีส ฟลูออไรด์ โซเดียม เหล็ก โดยรวม ๆ เวลาพูดถึงกระดูก
จะบอกว่าในกระดูก จะมี Ossein Mineral Complex ซึ่งเป็นส่วนประกอบตามโครงสร้างธรรมชาติของกระดูก
คือมีส่วนประกอบของแคลเซียม และฟอสเฟต และธาตุอื่นๆ

จะเห็นได้ว่าธาตุแทบทั้งหมด มีความจำเป็นสำหรับการเจริญเติบโตของพืชทั้งสิ้น
แล้วอินทรีย์วัตถุในกระดูกล่ะ?
อินทรียวัตถุในกระดูกประกอบด้วย โอเซอีน เป็นส่วนที่ยึดเป็นโครงสร้างกระดูก และส่วนของโปรตีน
คือ คอลลาเจนไตรเปปไทด์ที่พอเอามาสกัดแล้วเรารู้จักในการชื่อ เจลาติน
อีกส่วนคือ คอนโดมิวคอยล์ (Chondo-mucoid) ซี่งเป็นสารประกอบคาร์บอน ในรูปโพลีแซคคาไรด์ และอะมิโนแอซิด
ปริมาณอินทรีย์วัตถุในกระดูกจึงมีมากถึง 40% เลยทีเดียว โดยแบ่งเป็นไขมัน 14.6 และ ossein 25.4
และมีส่วนของเถ้าถ่าน (ash) ซึ่งจะแยกออกเป็น ฟอสฟอรัส 22.3 และ แคลเซียม 29.2
ส่วนธาตุอื่นที่เหลือ Mg, Fe, Mn ,Cl มีในปริมาณน้อย

ในกระบวนการป่นกระดูก จะมีทั้งการเผา การต้ม การกลั่นด้วยไอน้ำ การใช้กรดย่อยสลาย
ซึ่งเป็นเทคนิคการสกัดให้เหลือแต่ธาตุอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อพืช เทคโนโลยีในการทำปุ๋ยกระดุกป่น
มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องยาวนานมาก จนกระทั่งปัจจุบัน กระบวนการทำปุ๋ยจากกระดุกป่น ถือเป็นกระบวนการผลิตที่ต้องใช้เทคโนโลยีชั้นสูง
ยกตัวอย่างเทคโนโลยีหนึ่งทีมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง คือ การอบไอน้ำและการรักษาปริมาณไนโตรเจน
อย่างที่ทราบว่าในกระดูกป่น จะมีธาตุไนโตรเจนไม่มาก ด้วยเทคโนโลยีเขาก็พยายามจะทำให้
ระดับของไนโตรเจนอยู่ที่ 1-4 % ตลอด ซึ่งกระบวนการนี้ บางทีได้ไนโตรเจนเพิ่ม
แต่ฟอสฟอรัสลด ปัจจุบันเทคโนโลยีการอบไอน้ำนั้นรวมไปถึงการฆ่าเชื้อโรค จุลินทรีย์ที่อาจจะเป็นโทษต่อพืชด้วย
เช่น การอบที่อุณหภูมิ 180 องศาจากการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ไม่เฉพาะในยุโรปเท่านั้น
ที่จะใช้ปุ๋ยที่ทำจากกระดูกป่น แม้แต่ในสหรัฐอเมริกาเอง การใช้ปุ๋ยจากกระดูกป่นก็แพร่หลาย
เนื่องจาก ปุ๋ยกระดูกป่นจะช่วยในการปลดปล่อยธาตุอาหารให้พืชและเพิ่มผลผลิตในแปลงได้
ที่มาของการผลิตปุ๋ยแคลเซียมจากกระดูกสัตว์
#หญิงงามนูเทรียน ใช้ปุ๋ยที่มาจากแหล่งอินทรีย์วัตถุ
และแคลเซียมในการผลิต ปุ๋ยอินทรีย์เคมีทุกสูตรของปุ๋ยตราหญิงงาม
"มุ่งมั่นพัฒนา สินค้าคุณภาพ เพื่อเกษตรกรไทย"
เป็นเพื่อนกับปุ๋ยตราหญิงงาม
ได้รับข่าวสาร
และโปรโมชันก่อนใคร